ความรู้ทั่วไป+ประวัติศาสตร์
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
เฟอร์เรท
เฟอเรท เจ้าขนฟูแสนซน คนเลี้ยงไทยเพาะพันธุ์ได้เอง (เทคโนโลยีชาวบ้าน)
โดย อุราณี ทับทอง
คอลัมน์ เทคโนฯ สัตว์เลี้ยง
ประโยชน์ของการใช้อินเตอร์เน็ต นอกจากการค้นคว้าหาความรู้และข่าวสารต่างๆ แล้ว ยังนำมาสู่การพบปะกันระหว่างคนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน อย่างเช่น ในเว็บไซต์ www. thailandferret.co.cc การรวมตัวในโลกออนไลน์ของกลุ่มคนรักสัตว์แสนซน ที่ชื่อ "เฟอเรท" (Ferret)
เฟอเรท อาจเป็นสัตว์เลี้ยงที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคยนัก แต่สำหรับคนรักสัตว์กลุ่มนี้ เฟอเรท คือสัตว์เลี้ยงแสนซนที่ซ่อนความน่ารักไว้ในตัว มีเสน่ห์ทั้งในรูปร่างที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่อง ลำตัวยาว หน้าตาจิ้มลิ้ม มีสีหลากหลาย อาทิ ซิลเวอร์ ไลท์ซิลเวอร์ แพนด้า ชินเนมอล แฟนซี อัลบิโน ฯลฯ แถมยังมีท่าทางขี้สงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา สนใจสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ แต่สามารถจับเล่นและกอดอุ้มได้
"จุดเด่นของเฟอเรทคือ ลักษณะนิสัยและรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างน่ารัก คล้ายแมว ถ้าฝึกมันก็จะเชื่อง จะสั่งให้มันเล่นหรือนอนหมอบก็พอจะทำได้ในระดับหนึ่ง แต่คงไม่ฉลาดเหมือนหมาหรือแมว สามารถฝึกให้คุ้นเคยได้โดยใช้อาหารล่อ แต่คนเลี้ยงต้องใช้ความอดทนสูง เพราะมันจะติดเล่น เหมือนเด็กเล็กๆ ซนๆ เล่นกับมัน ฝึกกับมันสักพักมันก็จะเริ่มเบื่อ ไม่สนใจ จะไปเล่นอย่างอื่น ใครเลี้ยงก็ต้องอดทนกับมันหน่อย บางตัวห่วงเล่นจนไม่ยอมนอน ง่วงตาปรือแล้วยังจะห่วงเล่น"
คุณดามพ์ แสงหิรัญ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อธิบายถึงความแสนซนขี้เล่นของเฟอเรทอันเป็นสิ่ง ดึงดูดให้เขาตัดสินใจเลี้ยงไว้ในบ้าน และเป็นเหตุผลที่ไม่ต่างจากสมาชิกผู้เลี้ยงคนอื่นๆ ซึ่งมีทั้งวัยรุ่นที่กำลังศึกษา และคนวัยทำงานที่อยู่ในหลายจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง รวมถึงคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศก็เลี้ยงเฟอเรทเช่นกัน
แต่หากย้อนกลับถึงความเป็นมา เฟอเรท นับเป็นสัตว์ต่างถิ่นที่มีแหล่งกำเนิดทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ในอดีตเมืองไทยพบเห็นได้เพียงตามสวนสัตว์ แต่ระยะหลังราว 6-7 ปี ที่ผ่านมา มีการนำเข้าจากต่างประเทศที่มีการพัฒนาสายพันธุ์เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น มาจำหน่ายยังตลาดสัตว์เลี้ยงในราคาหลายพันบาท แต่ในช่วงนั้น เฟอเรทไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้นิยมเลี้ยงสัตว์ต่างถิ่นเท่าที่ควร เนื่องจากเฟอเรทเป็นสัตว์ในตระกูล Pole Cat หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกลิ่นเฉพาะเช่นเดียวกับ มิงค์ ชะมด นาก ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีต่อมกลิ่นสำหรับการสื่อสาร ป้องกันตัว หรือแสดงอาณาเขต กลิ่นสาบของเฟอเรทจึงเป็นเรื่องขัดใจของหลายๆ คน ที่ถึงแม้จะสนใจรูปร่างหน้าตาของมันแค่ไหนก็ตาม
"เฟอเรท มีข้อเสียเรื่องกลิ่น แต่เป็นกลิ่นตัว กลิ่นเฉพาะของมันที่จะปล่อยในช่วงตกใจ ตื่นเต้น หรือผสมพันธุ์ เรื่องกลิ่นนี้ผู้เลี้ยงต้องยอมรับ แต่ในเวลาปกติก็ไม่ส่งกลิ่นมาก ถ้าหมั่นเช็ดตัวก็จะช่วยบรรเทากลิ่นไปได้ ใช้น้ำยาช่วยลดกลิ่นสำหรับเฟอเรทก็ได้หรือจะใช้ผ้าเช็ดตัวสำหรับแมวหรือ สุนัข การทำหมันก็เป็นการลดกลิ่นได้อีกวิธีหนึ่ง จึงอาจมีส่วนทำให้เฟอเรทไม่เป็นที่นิยมและไม่ค่อยมีการแพร่พันธุ์ แต่มีข้อดีคือ มันสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพอากาศบ้านเรา" คุณดามพ์ เสริม
แต่สำหรับสมาชิกคนรักเฟอเรทกลุ่มนี้ เรื่องกลิ่นดูเป็นเรื่องจิ๊บๆ เพราะเข้าใจและยอมรับในธรรมชาติของสัตว์ อีกทั้งพวกเขายังพยายามศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จนนำมาสู่การเผยแพร่และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันในเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งเปิดเผยวิธีการลดกลิ่นสาบของเฟอเรทไว้ว่า ควรอาบน้ำไม่เกินเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยเลือกใช้แชมพูสำหรับสัตว์เล็กหรือสำหรับเฟอเรทโดยเฉพาะ เพราะถ้าหากผิวแห้ง เฟอเรทก็จะสร้างน้ำมันมาเคลือบผิว ซึ่งทำให้เฟอเรทมีกลิ่นหม็นมากยิ่งขึ้น หรือใช้เพียงผ้าเช็ดอนามัยสำหรับสัตว์เลี้ยงก็พอ โดยหมั่นเช็ดตามตัว บริเวณท้อง โคนหาง จะช่วยลดกลิ่นได้ รวมถึงการใส่ผ้าในกรงที่ช่วยซับกลิ่นในกรงทุกวัน ใช้แป้งสำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กโรยตัว ที่สำคัญคือ การรักษาความสะอาดในกรงและการเลือกที่ตั้งกรงเลี้ยงเฟอเรทในบริเวณที่อากาศ ถ่ายเทได้สะดวก
ส่วนการเลี้ยงเฟอเรทขั้นเบื้องต้น ควรเตรียมกรงที่มีความแข็งแรง ไม่เป็นสนิมง่าย และมีพื้นที่มากพอให้มันได้ปีนป่ายเล่น มีภาชนะสำหรับอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด แนะนำให้ใช้ถ้วยกระเบื้องหรือชามดินเผาที่ค่อนข้างหนัก (เฟอเรท ชอบดื่มน้ำจากในชามมากกว่าดื่มน้ำจากตัวดูดน้ำที่ติดข้างกรง) หมั่นเปลี่ยนน้ำและอาหารทุกวัน ส่วนห้องน้ำสำหรับเฟอเรทนั้นผู้เลี้ยงสามารถใช้กระบะทรายที่ใช้เป็นห้องน้ำ สำหรับแมวหรือกระต่ายวางไว้ในกรงก็ได้ เพื่อฝึกให้เฟอเรทขับถ่ายเป็นที่
ที่นอนสำหรับเฟอเรท ผู้เลี้ยงนิยมใช้เบาะนอนของสุนัขหรือแมว อาจใช้เปลของเฟอเรทหรือใช้ผ้าปูในกรงก็ได้ แต่ต้องหมั่นซักทำความสะอาดและตากแดดอยู่เสมอเพื่อบรรเทากลิ่น อย่าลืมวางลูกปิงปอง ลูกกอล์ฟ หรือ ท่อน้ำชนิดแข็ง หรือของเล่นสำหรับสุนัขและแมวที่ทนต่อการกัดแทะไว้ในกรงเพื่อเป็นของเล่นให้ เจ้าแสนซนด้วย ซึ่งภาพถ่ายจากบรรดาสมาชิกที่นำภาพมาอวดโฉมกันนั้นเห็นชัดถึงความน่ารักของ เฟอเรทได้อย่างดี ส่วนใหญ่เฟอเรทจะสวมบทบาทเจ้าขนฟูที่ซุกซนอยู่ในบ้าน บางรายเลี้ยงจนคุ้นเคย สามารถฝึกเข้ากับสายจูงแล้วพาไปเที่ยวเตร่ข้างนอกกลายเป็นสัตว์เลี้ยงพกพาไป อีกแบบ แต่ต้องระมัดระวังอันตรายจากสัตว์ชนิดอื่นพอสมควร
สมาชิกบางคนเลี้ยงเฟอเรทมานานหลายปีจนสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้เอง อย่างเช่น คุณวิรุตม์ โสติผล หรือ คุณกานต์ หนุ่มเชียงใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากเลี้ยงเฟอเรทมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็รอจนโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตสัตว์เลี้ยงได้ จึงสามารถเลี้ยงเฟอเรทจนถึงปัจจุบัน โดยศึกษาข้อมูลจากชุมชนออนไลน์และเว็บไซต์ต่างประเทศ ซึ่งมีผู้เลี้ยงเฟอเรทอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มแรกเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน กลุ่มที่สองคือ เลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ เป็นชาวไร่ชาวนาที่เลี้ยงไว้จับนกจับหนู ส่วนอีกกลุ่มเลี้ยงเพื่อใช้ทำขนเสื้อ นอกจากนี้ ยังมีชมรม AFA (American Ferret Association) ของสหรัฐอเมริกา เป็นมูลนิธิให้การช่วยเหลือเฟอเรทที่ถูกทอดทิ้ง
"แต่บ้านเรายังไม่ แพร่หลายมากนัก เพราะเฟอเรทส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จะทำหมันมาแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ทำหมันมันก็จะมีความเสี่ยงเรื่องฮอร์โมนเป็นพิษ อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพ บางคนก็เลี้ยงไม่ถูกวิธี บางคนเลี้ยงได้นานแต่ก็ไม่มีลูก ผสมไม่ติด ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าแปลก ตอนนี้หากมองในแง่เชิงพาณิชย์สำหรับเฟอเรทก็ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่ เพราะผู้เลี้ยงในเมืองไทยยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะปัญหาด้านสุขภาพ และกลุ่มผู้เลี้ยงที่ยังไม่กว้างขวางมาก ยังเพาะพันธุ์ได้น้อย โดยเฟอเรทนำเข้า ปัจจุบันอยู่ที่ตัวละ 4,500-8,500 บาท ถ้าเป็นลูกเพาะในไทย จะเริ่ม 4,000-6,000 บาท ซึ่งมีข้อได้เปรียยบด้านสุขภาพมากกว่า เพราะเกิดในเขตร้อน มีการปรับตัวตั้งแต่เด็ก"
ด้วยใจรัก คุณกานต์จึงสนใจเรื่องสุขภาพเฟอเรทเป็นพิเศษ โดยเริ่มจากการนำเข้าเฟอเรทจากประเทศฮอล์แลนด์ซึ่งไม่ถูกทำหมันมาก่อนมา เลี้ยงเล่น จากนั้นก็เสาะหาเฟอเรทที่เกิดในไทย ซึ่งหาได้ยากมาเลี้ยงเพิ่ม ผ่านไป 5 ปี น้องๆ เฟอเรทของเขาจะออกลูกหลานมาให้ชื่นใจ
"เฟอรเรท สามารถผสมพันธุ์ข้ามคู่ ข้ามสี ได้ โดยมีช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมจะเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ หลังจากผสมแล้วไข่จะตกภายใน 30-40 ชั่วโมง ถ้าอยากให้ได้ผลที่แน่นอน ควรให้เวลาอยู่รวมกันอย่างน้อย 10 วัน จากนั้นให้แยกตัวผู้หรือตัวเมีย ไม่เช่นนั้นอาจจะหลุด เพราะเล่นกันเอง หลังจากนั้น ถ้าตัวเมียท้องจะเห็นความแตกต่างราว 2-3 สัปดาห์ต่อมา คือท้องใหญ่ขึ้น เห็นราวนมชัดขึ้น เฟอเรทตั้งท้อง 40-50 วัน มีลูกปีละ 1-2 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ในไทยจะเกิดลูกเพียงปีละครั้ง ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับอากาศร้อน ถ้าเป็นเมืองนอกอากาศเย็นจะผสมพันธุ์ได้ดีกว่า จำนวนลูก 1-12 ตัว โดยเฉลี่ย 6-7 ตัว ต่อครอก
ในช่วง 30 วัน หลังคลอด แม่เฟอเรทจะดูแลลูกเองทุกอย่างและหวงลูกมาก หลังจากนั้น ฟันลูกเฟอเรทจะเริ่มขึ้นและสามารถหากินตามแม่เฟอเรทได้" คุณกานต์ เผยเทคนิคการขยายพันธุ์
ยังมีรายละเอียดและข้อคำนึงในการเลี้ยงเฟอเรทที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจอีกมาก ก่อนตัดสินใจเลี้ยงแนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากสมาชิกคนรักเจ้าแสนซน กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ ได้ที่ www.thailandferret.co.cc
อ่อ...เกือบ ลืมเรื่องอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงสัตว์ สำหรับเฟอเรทคุณกานต์แนะนำให้ใช้อาหารแมวชนิดเม็ด เกรดคุณภาพ ควรมีเนื้อสัตว์ต้มสุกชิ้นเล็กๆ เสริมด้วย เนื่องจากเฟอเรทเป็นสัตว์กินเนื้อต้องการโปรตีนสูงมาก (อาหารสำเร็จที่ใช้ควรมีโปรตีนตั้งแต่ 36% - 40% ไขมัน 20% และกากไม่ควรมากกว่า 3%) แต่ไม่ควรให้อาหารที่มีส่วนผสมของแป้ง นม และน้ำตาล หรือผัก เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหารของเฟอเรท
สอบถามเรื่องอาหารไปยังผู้เลี้ยงอีกราย พบความห่วงใยในสุขภาพเฟอเรทมากกกว่านั้น โดยให้กินซุปไก่สกัดทุกสัปดาห์ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพและความฉลาดให้กับสัตว์เลี้ยง
ดูแลดีอย่างนี้...ระวังเฟอเรทจะถูกจีบไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ "ฉลาดคิด (แบบสัตว์เลี้ยงยุคใหม่)" นะตัว (ฮา)
โดย อุราณี ทับทอง
คอลัมน์ เทคโนฯ สัตว์เลี้ยง
ประโยชน์ของการใช้อินเตอร์เน็ต นอกจากการค้นคว้าหาความรู้และข่าวสารต่างๆ แล้ว ยังนำมาสู่การพบปะกันระหว่างคนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน อย่างเช่น ในเว็บไซต์ www. thailandferret.co.cc การรวมตัวในโลกออนไลน์ของกลุ่มคนรักสัตว์แสนซน ที่ชื่อ "เฟอเรท" (Ferret)
เฟอเรท อาจเป็นสัตว์เลี้ยงที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคยนัก แต่สำหรับคนรักสัตว์กลุ่มนี้ เฟอเรท คือสัตว์เลี้ยงแสนซนที่ซ่อนความน่ารักไว้ในตัว มีเสน่ห์ทั้งในรูปร่างที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่อง ลำตัวยาว หน้าตาจิ้มลิ้ม มีสีหลากหลาย อาทิ ซิลเวอร์ ไลท์ซิลเวอร์ แพนด้า ชินเนมอล แฟนซี อัลบิโน ฯลฯ แถมยังมีท่าทางขี้สงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา สนใจสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ แต่สามารถจับเล่นและกอดอุ้มได้
"จุดเด่นของเฟอเรทคือ ลักษณะนิสัยและรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างน่ารัก คล้ายแมว ถ้าฝึกมันก็จะเชื่อง จะสั่งให้มันเล่นหรือนอนหมอบก็พอจะทำได้ในระดับหนึ่ง แต่คงไม่ฉลาดเหมือนหมาหรือแมว สามารถฝึกให้คุ้นเคยได้โดยใช้อาหารล่อ แต่คนเลี้ยงต้องใช้ความอดทนสูง เพราะมันจะติดเล่น เหมือนเด็กเล็กๆ ซนๆ เล่นกับมัน ฝึกกับมันสักพักมันก็จะเริ่มเบื่อ ไม่สนใจ จะไปเล่นอย่างอื่น ใครเลี้ยงก็ต้องอดทนกับมันหน่อย บางตัวห่วงเล่นจนไม่ยอมนอน ง่วงตาปรือแล้วยังจะห่วงเล่น"
คุณดามพ์ แสงหิรัญ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อธิบายถึงความแสนซนขี้เล่นของเฟอเรทอันเป็นสิ่ง ดึงดูดให้เขาตัดสินใจเลี้ยงไว้ในบ้าน และเป็นเหตุผลที่ไม่ต่างจากสมาชิกผู้เลี้ยงคนอื่นๆ ซึ่งมีทั้งวัยรุ่นที่กำลังศึกษา และคนวัยทำงานที่อยู่ในหลายจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง รวมถึงคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศก็เลี้ยงเฟอเรทเช่นกัน
แต่หากย้อนกลับถึงความเป็นมา เฟอเรท นับเป็นสัตว์ต่างถิ่นที่มีแหล่งกำเนิดทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ในอดีตเมืองไทยพบเห็นได้เพียงตามสวนสัตว์ แต่ระยะหลังราว 6-7 ปี ที่ผ่านมา มีการนำเข้าจากต่างประเทศที่มีการพัฒนาสายพันธุ์เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น มาจำหน่ายยังตลาดสัตว์เลี้ยงในราคาหลายพันบาท แต่ในช่วงนั้น เฟอเรทไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้นิยมเลี้ยงสัตว์ต่างถิ่นเท่าที่ควร เนื่องจากเฟอเรทเป็นสัตว์ในตระกูล Pole Cat หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกลิ่นเฉพาะเช่นเดียวกับ มิงค์ ชะมด นาก ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีต่อมกลิ่นสำหรับการสื่อสาร ป้องกันตัว หรือแสดงอาณาเขต กลิ่นสาบของเฟอเรทจึงเป็นเรื่องขัดใจของหลายๆ คน ที่ถึงแม้จะสนใจรูปร่างหน้าตาของมันแค่ไหนก็ตาม
"เฟอเรท มีข้อเสียเรื่องกลิ่น แต่เป็นกลิ่นตัว กลิ่นเฉพาะของมันที่จะปล่อยในช่วงตกใจ ตื่นเต้น หรือผสมพันธุ์ เรื่องกลิ่นนี้ผู้เลี้ยงต้องยอมรับ แต่ในเวลาปกติก็ไม่ส่งกลิ่นมาก ถ้าหมั่นเช็ดตัวก็จะช่วยบรรเทากลิ่นไปได้ ใช้น้ำยาช่วยลดกลิ่นสำหรับเฟอเรทก็ได้หรือจะใช้ผ้าเช็ดตัวสำหรับแมวหรือ สุนัข การทำหมันก็เป็นการลดกลิ่นได้อีกวิธีหนึ่ง จึงอาจมีส่วนทำให้เฟอเรทไม่เป็นที่นิยมและไม่ค่อยมีการแพร่พันธุ์ แต่มีข้อดีคือ มันสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพอากาศบ้านเรา" คุณดามพ์ เสริม
แต่สำหรับสมาชิกคนรักเฟอเรทกลุ่มนี้ เรื่องกลิ่นดูเป็นเรื่องจิ๊บๆ เพราะเข้าใจและยอมรับในธรรมชาติของสัตว์ อีกทั้งพวกเขายังพยายามศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จนนำมาสู่การเผยแพร่และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันในเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งเปิดเผยวิธีการลดกลิ่นสาบของเฟอเรทไว้ว่า ควรอาบน้ำไม่เกินเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยเลือกใช้แชมพูสำหรับสัตว์เล็กหรือสำหรับเฟอเรทโดยเฉพาะ เพราะถ้าหากผิวแห้ง เฟอเรทก็จะสร้างน้ำมันมาเคลือบผิว ซึ่งทำให้เฟอเรทมีกลิ่นหม็นมากยิ่งขึ้น หรือใช้เพียงผ้าเช็ดอนามัยสำหรับสัตว์เลี้ยงก็พอ โดยหมั่นเช็ดตามตัว บริเวณท้อง โคนหาง จะช่วยลดกลิ่นได้ รวมถึงการใส่ผ้าในกรงที่ช่วยซับกลิ่นในกรงทุกวัน ใช้แป้งสำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กโรยตัว ที่สำคัญคือ การรักษาความสะอาดในกรงและการเลือกที่ตั้งกรงเลี้ยงเฟอเรทในบริเวณที่อากาศ ถ่ายเทได้สะดวก
ส่วนการเลี้ยงเฟอเรทขั้นเบื้องต้น ควรเตรียมกรงที่มีความแข็งแรง ไม่เป็นสนิมง่าย และมีพื้นที่มากพอให้มันได้ปีนป่ายเล่น มีภาชนะสำหรับอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด แนะนำให้ใช้ถ้วยกระเบื้องหรือชามดินเผาที่ค่อนข้างหนัก (เฟอเรท ชอบดื่มน้ำจากในชามมากกว่าดื่มน้ำจากตัวดูดน้ำที่ติดข้างกรง) หมั่นเปลี่ยนน้ำและอาหารทุกวัน ส่วนห้องน้ำสำหรับเฟอเรทนั้นผู้เลี้ยงสามารถใช้กระบะทรายที่ใช้เป็นห้องน้ำ สำหรับแมวหรือกระต่ายวางไว้ในกรงก็ได้ เพื่อฝึกให้เฟอเรทขับถ่ายเป็นที่
ที่นอนสำหรับเฟอเรท ผู้เลี้ยงนิยมใช้เบาะนอนของสุนัขหรือแมว อาจใช้เปลของเฟอเรทหรือใช้ผ้าปูในกรงก็ได้ แต่ต้องหมั่นซักทำความสะอาดและตากแดดอยู่เสมอเพื่อบรรเทากลิ่น อย่าลืมวางลูกปิงปอง ลูกกอล์ฟ หรือ ท่อน้ำชนิดแข็ง หรือของเล่นสำหรับสุนัขและแมวที่ทนต่อการกัดแทะไว้ในกรงเพื่อเป็นของเล่นให้ เจ้าแสนซนด้วย ซึ่งภาพถ่ายจากบรรดาสมาชิกที่นำภาพมาอวดโฉมกันนั้นเห็นชัดถึงความน่ารักของ เฟอเรทได้อย่างดี ส่วนใหญ่เฟอเรทจะสวมบทบาทเจ้าขนฟูที่ซุกซนอยู่ในบ้าน บางรายเลี้ยงจนคุ้นเคย สามารถฝึกเข้ากับสายจูงแล้วพาไปเที่ยวเตร่ข้างนอกกลายเป็นสัตว์เลี้ยงพกพาไป อีกแบบ แต่ต้องระมัดระวังอันตรายจากสัตว์ชนิดอื่นพอสมควร
สมาชิกบางคนเลี้ยงเฟอเรทมานานหลายปีจนสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้เอง อย่างเช่น คุณวิรุตม์ โสติผล หรือ คุณกานต์ หนุ่มเชียงใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากเลี้ยงเฟอเรทมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็รอจนโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตสัตว์เลี้ยงได้ จึงสามารถเลี้ยงเฟอเรทจนถึงปัจจุบัน โดยศึกษาข้อมูลจากชุมชนออนไลน์และเว็บไซต์ต่างประเทศ ซึ่งมีผู้เลี้ยงเฟอเรทอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มแรกเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน กลุ่มที่สองคือ เลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ เป็นชาวไร่ชาวนาที่เลี้ยงไว้จับนกจับหนู ส่วนอีกกลุ่มเลี้ยงเพื่อใช้ทำขนเสื้อ นอกจากนี้ ยังมีชมรม AFA (American Ferret Association) ของสหรัฐอเมริกา เป็นมูลนิธิให้การช่วยเหลือเฟอเรทที่ถูกทอดทิ้ง
"แต่บ้านเรายังไม่ แพร่หลายมากนัก เพราะเฟอเรทส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จะทำหมันมาแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ทำหมันมันก็จะมีความเสี่ยงเรื่องฮอร์โมนเป็นพิษ อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพ บางคนก็เลี้ยงไม่ถูกวิธี บางคนเลี้ยงได้นานแต่ก็ไม่มีลูก ผสมไม่ติด ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าแปลก ตอนนี้หากมองในแง่เชิงพาณิชย์สำหรับเฟอเรทก็ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่ เพราะผู้เลี้ยงในเมืองไทยยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะปัญหาด้านสุขภาพ และกลุ่มผู้เลี้ยงที่ยังไม่กว้างขวางมาก ยังเพาะพันธุ์ได้น้อย โดยเฟอเรทนำเข้า ปัจจุบันอยู่ที่ตัวละ 4,500-8,500 บาท ถ้าเป็นลูกเพาะในไทย จะเริ่ม 4,000-6,000 บาท ซึ่งมีข้อได้เปรียยบด้านสุขภาพมากกว่า เพราะเกิดในเขตร้อน มีการปรับตัวตั้งแต่เด็ก"
ด้วยใจรัก คุณกานต์จึงสนใจเรื่องสุขภาพเฟอเรทเป็นพิเศษ โดยเริ่มจากการนำเข้าเฟอเรทจากประเทศฮอล์แลนด์ซึ่งไม่ถูกทำหมันมาก่อนมา เลี้ยงเล่น จากนั้นก็เสาะหาเฟอเรทที่เกิดในไทย ซึ่งหาได้ยากมาเลี้ยงเพิ่ม ผ่านไป 5 ปี น้องๆ เฟอเรทของเขาจะออกลูกหลานมาให้ชื่นใจ
"เฟอรเรท สามารถผสมพันธุ์ข้ามคู่ ข้ามสี ได้ โดยมีช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมจะเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ หลังจากผสมแล้วไข่จะตกภายใน 30-40 ชั่วโมง ถ้าอยากให้ได้ผลที่แน่นอน ควรให้เวลาอยู่รวมกันอย่างน้อย 10 วัน จากนั้นให้แยกตัวผู้หรือตัวเมีย ไม่เช่นนั้นอาจจะหลุด เพราะเล่นกันเอง หลังจากนั้น ถ้าตัวเมียท้องจะเห็นความแตกต่างราว 2-3 สัปดาห์ต่อมา คือท้องใหญ่ขึ้น เห็นราวนมชัดขึ้น เฟอเรทตั้งท้อง 40-50 วัน มีลูกปีละ 1-2 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ในไทยจะเกิดลูกเพียงปีละครั้ง ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับอากาศร้อน ถ้าเป็นเมืองนอกอากาศเย็นจะผสมพันธุ์ได้ดีกว่า จำนวนลูก 1-12 ตัว โดยเฉลี่ย 6-7 ตัว ต่อครอก
ในช่วง 30 วัน หลังคลอด แม่เฟอเรทจะดูแลลูกเองทุกอย่างและหวงลูกมาก หลังจากนั้น ฟันลูกเฟอเรทจะเริ่มขึ้นและสามารถหากินตามแม่เฟอเรทได้" คุณกานต์ เผยเทคนิคการขยายพันธุ์
ยังมีรายละเอียดและข้อคำนึงในการเลี้ยงเฟอเรทที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจอีกมาก ก่อนตัดสินใจเลี้ยงแนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากสมาชิกคนรักเจ้าแสนซน กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ ได้ที่ www.thailandferret.co.cc
อ่อ...เกือบ ลืมเรื่องอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงสัตว์ สำหรับเฟอเรทคุณกานต์แนะนำให้ใช้อาหารแมวชนิดเม็ด เกรดคุณภาพ ควรมีเนื้อสัตว์ต้มสุกชิ้นเล็กๆ เสริมด้วย เนื่องจากเฟอเรทเป็นสัตว์กินเนื้อต้องการโปรตีนสูงมาก (อาหารสำเร็จที่ใช้ควรมีโปรตีนตั้งแต่ 36% - 40% ไขมัน 20% และกากไม่ควรมากกว่า 3%) แต่ไม่ควรให้อาหารที่มีส่วนผสมของแป้ง นม และน้ำตาล หรือผัก เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหารของเฟอเรท
สอบถามเรื่องอาหารไปยังผู้เลี้ยงอีกราย พบความห่วงใยในสุขภาพเฟอเรทมากกกว่านั้น โดยให้กินซุปไก่สกัดทุกสัปดาห์ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพและความฉลาดให้กับสัตว์เลี้ยง
ดูแลดีอย่างนี้...ระวังเฟอเรทจะถูกจีบไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ "ฉลาดคิด (แบบสัตว์เลี้ยงยุคใหม่)" นะตัว (ฮา)
เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง "ดอกกุหลาบ" เพราะดอกกุหลาบนั้น แม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามร วมถึงกลิ่นที่หอมชวนดม แต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่าย ๆ
กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า "Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย
กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า "Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย
ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก
โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย
ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่าง ๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย
และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม
แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
โดยดอกกุหลาบนั้นสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง อาทิ










1 ดอก รักแรกพบ
2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ดอก ฉันรักเธอ
7 ดอก คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอก ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
999 ดอก ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย









และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่น่าสนใจของดอกกุหลาบ
ที่มา http://hilight.kapook.com/view/17583

ความอ้วนกับสาวๆ ดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยใช่ไหมล่ะคะ ยิ่งถ้าเกิดใครมาทักว่า "นี่เธอดูอ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย" คงจะถึงขั้นตัดเพื่อนตัดพี่น้องกันเลยทีเดียว อิอิ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ เพราะวันนี้เรารวบรวม สูตรลดน้ำหนัก เคล็ดลับ วิธีลดความอ้วน ภายในช่วงเวลาที่เราต้องการ ตั้งแต่ 3 วัน ถึง 1 เดือน มาฝากสาวๆ ด้วย เอ้า...ไหนมาดูซิ ว่ามี สูตรน้ำหนัก อะไรน่าสนใจบ้างเอ่ย

เป็นสูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ค่ะ โดยก่อนรับประทานอาหาร ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว และจัดอาหารแต่ละมื้อ ดังนี้




























ส่วนวันที่แปด มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น สามารถรับประทานอาหารอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มรับประทานเหมือนที่ทำตั้งแต่วันแรกค่ะ

โดยทั้งสามวัน คุณสาวๆ ต้องดื่มน้ำ 2 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อค่ะ และต้องรับประทานอาหารดังนี้

ตื่นมา ถ่ายให้หมด และ ดื่มน้ำสะอาด 1 ลิตร











ระหว่างนี้ห้ามทานของมัน หรือของทอดเด็ดขาดค่ะ หลังจากรับประทานครบ 3 วันแล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ

นี่ก็เป็นสูตรลดน้ำหนัก 3 วัน อีกเช่นกัน สำหรับสาวใจร้อน อยากลดน้ำหนักเร็วๆ โดยทั้งสามวัน คุณสาวๆ ต้องรับประทานอาหารดังนี้












หมายเหตุ




ข้อห้าม


สูตรอาหารนี้ให้ใช้ติดต่อกัน 3 วัน ภายใน 3 วัน ควรลดน้ำหนักได้ 10 ปอนด์ หรือประมาณ 4.5 กิโลกรัม หลังจาก 3 วัน สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติค่ะ

สาวๆ ที่สนใจ สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ควรจัดอาหารรับประทานดังนี้





























มาลองดูกันหน่อย สูตรลดน้ำหนัก ใน 13 วันมีอะไรบ้างเอ่ย




















































สำหรับสูตรลดน้ำหนัก 13 วันนี้ มีข้อห้ามด้วยนะคะ สำคัญมากๆ คือ




นอกจากนี้ สูตรลดน้ำหนัก 13 วัน ยังมีรายละเอียดปริมาณอาหารที่กำหนดไว้คือ












หากสาวใดคิดว่า 3 วัน 7 วัน เร็วไป กลัวไม่ได้ผลล่ะก็ มาลอง สูตรลดน้ำหนัก 2 สัปดาห์กันดีกว่า โดยตลอด 2 สัปดาห์ ให้จัดมื้ออาหาร และปฏิบัติตัวดังนี้





ทำตามนี้ทุกวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ รับรองว่า น้ำหนักส่วนเกินของคุณสาวๆ หายไปในพริบตาแน่นอน

นี่ก็เป็น สูตรลดน้ำหนัก ในสองสัปดาห์อีกเช่นกัน โดยแต่ละวันให้จัดอาหาร คือ




























พอวันที่ 8 ก็ให้ย้อนกลับไปรับประทานอาหารตามวันที่ 1 ใหม่ หากทำครบ 2 สัปดาห์แล้ว สาวๆ ควรจะลดน้ำหนักลงไปได้อย่างน้อย 7 กิโลกรัมค่ะ และที่สำคัญระหว่างลดน้ำหนัก ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมเด็ดขาดค่ะ

สูตรนี้ส่งตรงมาจากเมืองน้ำหอมเลยทีเดียว กับสูตรลดความอ้วน 24 วัน โดย อาหารของเก้าวันแรก ประกอบด้วย


อาหารแนะนำคือสเต็กพริกไทย ปลาสำลีเผา กุ้งอบเกลือ สตูว์เนื้อไม่ใส่ผัก ปลากระพงย่างบีบมะนาว หมูทอดกระเทียม แกงจืดหมูสับล้วน ระวังอย่ากินผักและข้าวเป็นพอ

สามวันต่อมา แม้ว่า น้ำหนักของคุณสาวๆ จะเริ่มลดไปบ้างแล้ว แต่ยังหยุดไม่ได้ค่ะ ต้องรับประทานต่อ โดย มื้อเช้ายังคงเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อกลางวันและเย็นเป็นผลไม้ล้วนๆ ห้ามมีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้อง จะทานผลไม้อะไรก็ได้ ทุเรียน มะม่วง ก็ไม่ว่า (แต่น้ำหนักอาจลดน้อยกว่าที่ควร) และต้องกินเป็นมื้อ อย่ากินจุบจิบ
เก้าวันชุดที่ 2 อาหารเช้าเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อที่เหลือเป็นผักล้วน มันฝรั่ง เผือก ข้าวโพด ทานได้ค่ะ อาหารแนะนำ ได้แก่ คะน้าผัดน้ำมันหอย ผักนึ่งจิ้มน้ำพริก ผัดผักทุกอย่าง สลัดผักน้ำใส (ที่ไม่ใส่นม ไข่ และน้ำตาล)
และสามวันสุดท้าย มื้อเช้าเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อกลางวันและเย็นให้ทานเป็นผลไม้ล้วนๆ
ถ้าทำได้ครบและเคร่งครัด รับรองว่า น้ำหนักของคุณสาวๆ ลดได้แน่ๆ เลย แต่มีควรข้อระวังนะคะ หากนับวันผิด หรือเผลอทานนอกเหนือจากที่กำหนดไป ก็ต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกค่ะ และถ้าครบ 24 วันแล้ว ก็สามารถกลับไปทานอาหารแบบเดิมได้ แต่ถ้าอยากผอมตลอด โดยไม่อยากควบคุมปริมาณอาหาร ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้คือ




ใครชอบสูตรลดน้ำหนักระยะยาว ต้องลองสูตรลดน้ำหนัก ใน 1 เดือนค่ะ โดยจะมีรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็น และผลไม้ ให้เลือกเป็นข้อๆ แต่ละวันก็เลือกมามื้อละ 1 ข้อ และผลไม้ 1 อย่างค่ะ ส่วนผักจะทานเท่าไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดจำนวน ส่วนอาหารแต่ละมื้อ มีอะไรให้เลือกบ้าง ไปดูกัน


























สูตรนี้ไม่จำกัดระยะเวลาค่ะ แต่ควรทานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน และงดอาหารจุบจิบ อาหารหวาน เครื่องในสัตว์ น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด ถ้าลองปฏิบัติตามนี้แล้ว ในเวลา 1 เดือน ควรลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5-8 กิโลกรัม
มีสูตรลดน้ำหนัก ให้สาวๆ ลองเลือกขนาดนี้ ใครชอบ สูตรลดน้ำหนัก ไหนก็ลองเลือกใช้ เลือกปฏิบัติกันดูนะคะ แต่ที่สำคัญคือต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้เห็นผลที่ชัดเจนค่ะ
ที่มา http://health.kapook.com/view3335.html


สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)